คำถามที่พบบ่อย (FAQS)
โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein) คือ โปรตีนที่ได้จากพืชที่มีกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 9 ชนิด หรือโปรตีนสมบูรณ์ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างพืช 2 ชนิดขึ้นไปเพื่อให้ได้กรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด เพราะว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว พืชจะไม่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกตัว และถึงแม้ว่าพืชบางชนิดจะมีกรดอะมิโนครบทุกตัว แต่กรดอะมิโนจำเป็นบางชนิดก็มีน้อยเกินไปตัวอย่างพืชที่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด ได้แก่ ควินัว : ให้โปรตีน 4.4 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม (สุก) / เมล็ดเจีย : เมล็ดเจียเพียง 2 ช้อนโต๊ะ ให้โปรตีนมากถึง 4 กรัม อีกทั้งเมล็ดเจียอัดเม็ดไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ และอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร อย่างไรก็ตามเราสามารถแก้ปัญหากรดอะมิโนจำกัดของพืชแต่ละชนิดได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกรับประทานอาหารเสริมโปรตีนผสมซึ่งจะได้โปรตีนสูงและมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน สามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เทียบเท่ากับเวย์โปรตีนแต่ปลอดภัยกว่าเวย์ ไม่พบปัญหาท้องอืด และไม่ต้องกังวลถึงปัญหาไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
กรดอะมิโน ก็คือ โปรตีนที่ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ โดยร่างกายจะดึงกรดอะมิโนมาสร้างเนื้อเยื่อ ฮอร์โมน หรือเอนไซม์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายแต่ละคน โดยกรดอะมิโนมีทั้งแบบที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองและอีก 9 ชนิดที่จำเป็นแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง ต้องได้จากการกินอาหารเท่านั้น โดยกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 9 ชนิดมีหน้าที่แตกต่างกัน บางชนิดถ้ารวมกลุ่มกับชนิดอื่นจะยิ่งทำหน้าที่ได้ดีกว่า โดยแต่ละคนมีความต้องการปริมาณของกรดอะมิโนมากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุและร่างกายว่ากำลังจะสร้างอะไร เมื่อกรดอะมิโนจำเป็นมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราจึงควรรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็นเป็นประจำทุกวัน ที่สำคัญเราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างมีกรดอะมิโนจำเป็นแต่ละชนิดมากน้อยแตกต่างกัน
โปรตีนจากสัตว์จัดเป็นอาหารโปรตีนคุณภาพดี เนื่องจากมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ยกตัวอย่าง ไข่ นม ซึ่งร่างกายย่อยและดูดซึมง่าย ส่วนโปรตีนจากเนื้อสัตว์บก สัตว์ปีก แม้มีคุณภาพสูงแต่ก็มีไขมันโคเลสเตอรอลและย่อยได้ยากกว่า
ส่วนโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วและธัญพืช โดยธรรมชาติจะให้กรดอะมิโนจำกัดชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดแตกต่างกัน ควินัว เมล็ดธัญพืชจากอเมริกาใต้ ถูกจัดว่าเป็นSuperfood เพราะอัดแน่นไปด้วยคุณค่าสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนที่เป็นโปรตีนจากพืชชนิดเดียวที่จัดว่าเป็นโปรตีนสมบูรณ์ (Complete protein) เพราะประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด (ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้)
เลือกโปรตีนคุณภาพเพื่อให้ได้กรดอะมีโนครบถ้วนเลือกอย่างไร
- เลือกแหล่งโปรตีนที่ให้ โปรตีนสมบูรณ์ (Complete protein)
- ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบทั้ง 9 ชนิด (ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้)
- เลือกโปรตีนที่ย่อยและดูดซึมได้ง่าย
- เลือกโปรตีนที่มีไม่มีไขมัน โคเลสเตอรอล และ แคลลอรี่ต่ำ
- มีไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยในการลดคอเลสเทอรอลอีกด้วย
โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนออกกำลังกายและต้องการลดน้ำหนัก เพราะให้พลังงาน แคลอรี่น้อยกว่าโปรตีนจากสัตว์ และไม่มีไขมันอิ่มตัว อย่างไรก็ตามหลายคนอาจยังสงสัยหรือเข้าใจผิดว่าการทานโปรตีนพืชไม่สามารถได้ประโยชน์เหมือนการทานโปรตีนจากสัตว์ แต่ในความเป็นจริงข้อมูลจากหลายงานวิจัยพบว่าหากเราเลือกทานโปรตีนพืชให้ถูกวิธี เราก็สามารถได้รับโปรตีนที่สมบูรณ์และได้คุณค่าสารอาหารครบเหมือนกับคนที่กินนมหรือ เนื้อสัตว์ได้
โดยส่วนใหญ่พืชจะไม่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกตัว และถึงแม้ว่าพืชบางชนิดจะมีกรดอะมิโนครบทุกตัว แต่กรดอะมิโนจำเป็นบางชนิดก็มีน้อยเกินไป ดังนั้นเราควรเลือกทานโปรตีนพืชแบบผสม (Plant-based protein Blend) ที่ได้จากการผสมแหล่งโปรตีนพืชหลายชนิดเข้าด้วยกันเพื่อลดข้อจำกัดดังกล่าวและทำให้เราได้โปรตีนสมบูรณ์ที่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด ตัวอย่างพืชที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น SUPERFOOD และมีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด อาทิ ควินัว และ เมล็ดเจีย ที่นอกจากให้โปรตีนที่สมบูรณ์แล้วยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 สารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีเส้นใยอาหารสูง
เพียงแค่เราเลือกทานโปรตีนพืชแบบผสมเราก็สามารถได้โปรตีนที่มีปริมาณสูงและคุณภาพดี สามารถเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เทียบเท่ากับโปรตีนจากสัตว์ อาทิ เวย์โปรตีนแต่ปลอดภัยกว่าเพราะร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมโปรตีนจากพืชได้ง่ายกว่าจึงไม่พบปัญหาท้องอืด และไม่ต้องกังวลถึงปัญหาไขมันและคอเลสเตอรอลสูง นอกจากนี้โปรตีนจากพืชยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ ต่างจากเวย์โปรตีน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทุกวันนี้เราจะเห็นคนหันมาทานโปรตีนจากพืชกันเยอะขึ้น เพราะนอกจากช่วยลดน้ำหนักแล้วงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า กลุ่มคนที่กินโปรตีนพืชจะมีระดับคอเลสเตอรอลเลว (LDL) และความดันโลหิตในระดับปกติ ทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน และโรคหัวใจน้อยกว่ากลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์
Plant-based protein หรือโปรตีนพืช ซึ่งมักพบได้มากจากพืชตระกูลถั่วและธัญพืช เมื่อเปรียบเทียบปริมาณโปรตีนต่อน้ำหนัก 100 กรัม จะพบว่าปริมาณโปรตีนจากพืช เทียบเท่าปริมาณโปรตีนจากเนื้อสัตว์เลยทีเดียว อีกทั้งยังมี Phytonutrient กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายหลายชนิด และที่สำคัญมีใยอาหารที่ดีต่อสุขภาพของลำไส้ รวมถึงการคุมน้ำหนัก นอกจากนี้โปรตีนพืช ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- โปรตีนพืช ดูดซึมดี ช่วยระบบขับถ่าย
เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น อัตราการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อก็จะเพิ่มขึ้น เราจึงควรเสริมโปรตีนจากอาหารเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหารที่แย่ลงตามวัย การรับประทานเนื้อสัตว์มากไปอาจทำให้มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อยและขาดใยอาหารที่จะช่วยเรื่องของการขับถ่าย โปรตีนจากพืช จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเพราะดูดซึมง่าย ทั้งยังมีใยอาหารที่สูง ซึ่งจะทำให้ระบบขับถ่ายอยู่ในภาวะสมดุล ลดอาการท้องผูก ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและไขมันอีกด้วย
- โปรตีนพืช แคลอรี่ต่ำ และใยอาหารสูง
เพราะพืชมีแคลอรี่ต่ำ มีใยอาหารสูง ทำให้อิ่มท้อง และเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ ปรับสมดุลระบบขับถ่าย โดยที่ยังให้สารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ จึงเหมาะกับคนที่กำลังควบคุมอาหาร หรือควบคุมน้ำหนัก อย่าลืมว่าโปรตีนก็มีส่วนสำคัญในการป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เพื่อการลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี
- โปรตีนพืช ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ออกกำลังกาย
คุณรู้ไหมว่าปัจจุบันผู้ออกกำลังกายหันมานิยมทานโปรตีนจากพืชมากขึ้น และยังมีกลุ่มผู้ออกกำลังกาย Body Builder ที่ทานมังสวิรัติอีกด้วย เพราะการทานโปรตีนจากสัตว์ แม้ว่าจะได้โปรตีนปริมาณสูงแต่ก็มีไขมัน คอเลสเตอรอล และมีความสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคมะเร็งบางชนิด ผู้ที่ออกกำลังกายและเล่นกีฬาที่ใส่ใจต่อสุขภาพจึงหันมาบริโภค Plant-based protein มากขึ้น
นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมกล้ามเนื้อ แต่มีภาวะ Lactose-intolerance ทำให้ไม่สามารถทานเวย์โปรตีนได้ โปรตีนพืชจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการเสริมโปรตีน
โพรไบโอติก (Probiotics) เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วจะเข้าไปอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ โดยช่วยเพิ่มและปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่เดิมทำให้แบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น และกำจัดแบคทีเรียที่ไม่ดี (คือพวกที่ทำให้ท้องอืด ท้องเสีย สร้างสารก่อมะเร็ง สารที่มีกลิ่นเหม็น ฯลฯ) ทำให้สุขภาพของลำไส้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์อื่นๆ เช่น เพิ่มภูมิคุ้มกัน เป็นต้น ส่วนพรีไบโอติกเป็นเส้นใยอาหารที่ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมในระบบทางเดินอาหารแต่จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียโพรไบโอติก ทำให้กระตุ้นการเจริญเติบโตและการทำงานของแบคทีเรีย กล่าวง่ายๆ ก็คือ พรีไบโอติกเป็นอาหารของโพรไบโอติกนั่นเอง ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีซินไบโอติก ( โพรไบโอติก+พรีไบโอติก) สูงจึงช่วยให้โพรไบโอติกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น
ทดลองกินผลิตภัณฑ์ Probiotics ไปสัก 2-3 สัปดาห์ โดยกินเช้า-เย็น ทุกวัน เริ่มแรกท้องไส้อาจรู้สึกปั่นป่วน เนื่องจากมีการแก่งแย่งพื้นที่ในลำไส้ใหญ่ระหว่างกลุ่มต่างๆของแบคทีเรียเพื่อตั้งรกราก หากไม่มีอะไรผิดปกติอย่างอื่น ก็ให้กินต่อไปทุกวัน หลังจาก 2 สัปดาห์แล้ว ให้สำรวจตัวเองว่ารู้สึกสบายท้องขึ้นหรือไม่ ขับถ่ายดีหรือไม่ กินนี้โพรไบโอติกแล้วรู้สึกว่าสุขภาพลำไส้ดีขึ้นหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ ก็ขอให้คุณกินโพรไบโอติกนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การกินโพรไบโอติกให้ได้ผลดี ต้องกินสม่ำเสมอต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ห้ามกินๆหยุดๆ ต้องมีเชื้อไปทดแทนพรรคพวกที่ตั้งรกรากแล้วหลุดหายตายจากไปตามระยะเวลา
จากข้อมูลในวารสารทางการแพทย์ต่างประเทศพบว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริงปริมาณโพรไบโอติกที่ควรรับประทานต่อวันอยู่ที่ 10-50 Billion CFU โดยไม่ควรต่ำกว่า 10 Billion CFU เนื่องจากโพรไบโอติกที่เราทานเข้าไปต้องเดินทางฝ่าด่านกรด และด่านน้ำดี ฯลฯ ตกหายตายจากไประหว่างทางในทางเดินอาหาร กว่าจะถึงที่ตั้งรกรากในลำไส้ใหญ่พวกที่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็ลดจำนวนลงไปมาก ดังนั้นเลือกจำนวนมากไว้ก็จะดีกว่า
ซินไบโอติก (Synbiotic) คือ การนำโพรไบโอติก (Probiotics) และพรีไบโอติก (Prebiotics) ผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งโพรไบโอติกนั้นเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ส่วนพรีไบโอติกเป็นเส้นใยอาหารที่ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร แต่เป็นแหล่งอาหารของโพรไบโอติก ดังนั้น การรับประทานซินไบโอติกจึงอาจช่วยให้โพรไบโอติกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โพรไบโอติก คือ แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ การทานโพรไบโอติกเป็นประจำช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้บีบตัวตามธรรมชาติ และขับถ่ายเป็นประจำ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ถ่ายเป็นประจำ ไม่ถ่ายเป็นเวลา ไม่ถ่ายทุกวัน ก็ควรจะทานโพรไบโอติกเสริมเป็นประจำ ส่วนพรีไบโอติก คือ อาหารที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ เช่น ไฟเบอร์จากผัก-ผลไม้ แต่เมื่อลงไปสู่ลำไส้แล้วจะกลายเป็นอาหารให้โพรไบโอติก จากงานวิจัยเราจะพบว่าคนที่ทานผักผลไม้เป็นประจำจะมีจำนวนโพรไบโอติกมากกว่าคนที่ชอบทานแต่แป้งและเนื้อสัตว์
การทานโพรไบโอติกหรือพรีไบโอติกต่างก็ช่วยเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหารทั้ง 2 ตัว จนอาจเกิดคำถามว่าทำไมถึงไม่เลือกทานแค่ตัวเดียว เพราะผลลัพธ์ก็คือเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ทั้งคู่ คำตอบก็คือ การทานพร้อมกัน 2 ตัวจะช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ได้แบบทวีคูณมากกว่า โดยเฉพาะในคนที่ทานเนื้อสัตว์มาเป็นเวลานานจนจำนวนโพรไบโอติกในลำไส้ลดลงเข้าขั้นวิกฤติ สังเกตได้เช่นคนที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ไม่ค่อยขับถ่าย ลำไส้ไม่ทำงาน ต้องทานทั้ง 2 ตัวพร้อมกัน เพื่อให้จำนวนโพรไบโอติกขยายตัวกลับมาฟื้นฟูให้เร็วที่สุด
UP+ เลือกใช้ โพรไบโอติกสายพันธุ์ บาซิลลัส โคแอกกูแลน (Bacillus Coagulans) BC30 ลิขสิทธ์จากสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านการรับรองจาก USFDA เพราะเป็นจุลินทรีย์ที่มีความแข็งแรงทนทานต่อความร้อนและกรดภายในทางเดินอาหารได้ดี จึงอาจมีอายุที่ยืนยาวกว่าโพรไบโอติกสายพันธุ์อื่น ๆ ในท้องตลาดที่จะลดจำนวนลงเมื่อโดนกรดในกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงช่วยให้ร่างกายได้ประโยชน์สูงกว่าการได้รับโพรไบโอติกแบบเดิม
จากการศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณของซินไบโอติกและโพรไบโอติกสายพันธุ์ บาซิลลัส โคแอกกูแลน พบว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน ดังนี้
- ระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น : โพรไบโอติกมีส่วนช่วยในการขับถ่าย การใช้โพรไบโอติกต่อเนื่องกันในระยะหลายสัปดาห์อาจช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงของอาการท้องเสีย ท้องอืด และปวดท้องที่เกิดจากโรคเหล่านี้ได้ ขณะเดียวกัน ยังมีการศึกษาอื่น ๆ รายงานว่าโพรไบโอติกอาจช่วยรักษาและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและโรคมะเร็งลำไส้ แต่ผลของการรักษาอาจแตกต่างไปตามระยะเวลา ปริมาณ และชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้
- เสริมภูมิคุ้มกัน : ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเสมือนป้อมปราการช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ จากงานวิจัยหลายงานที่ศึกษาความสัมพันธ์ของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายกับการได้รับโพรไบโอติกสายพันธุ์ Bacillus coagulans กับพรีไบโอติก พบว่าหากร่างกายได้รับในปริมาณที่เหมาะสม อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิกันให้ต่อสู้กับเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้หวัดได้ อีกทั้งการศึกษาบางชิ้นยังพบว่า การบริโภคโพรไบโอติกและพรีไบโอติกอาจมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันหลังจากรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ด้วย
- เพิ่มการดูดซึมสารอาหาร : โพรไบโอติกและพรีไบโอติกอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ทำงานที่ต้องใช้แรง หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะมีการศึกษาที่พบว่าจุลินทรีย์สายพันธุ์ Bacillus coagulans GBI-30, 6086 (GanedenBC30) อาจมีส่วนช่วยในการดูดซึมและนำโปรตีนไปใช้ได้ดีขึ้น จึงอาจส่งผลต่อการฟื้นฟูร่างกาย ขณะที่งานวิจัยอีกชิ้นที่ศึกษาการดูดซึมโปรตีนระหว่างผงโปรตีนธรรมดากับผงโปรตีนที่มีโพรไบโอติก พบว่าผงโปรตีนที่มีโพรไบโอติกช่วยเพิ่มระดับกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนสูงกว่าผงโปรตีนแบบปกติ
UP+ คือนวัตกรรมใหม่ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากพืชที่เป็นมากกว่าโปรตีน UP+ เครื่องดื่มโปรตีนผงผสม (Planted Based Protein Powder Blended ) แบบ ALL-IN-ONE ที่พัฒนาสูตรจากแบรนด์เครื่องดื่มโปรตีนพืชชั้นนำของอเมริกา (American Formula) นอกจากจะให้คุณค่าสารอาหารหลักและเสริมที่มีปริมาณและคุณภาพสูงครบครันแล้ว UP+ ยังเป็นแบรนด์แรกที่มีการนำ โพรไบโอติก (Probiotic) คุณภาพสูงผสมลงในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีนพืช ทำให้UP+เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยดูแลสุขภาพแบบครบจบในผลิตภัณฑ์เดียวภายใต้แนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “Beyond Nutrition. We are Complete Nourishment”
10 เหตุผลที่คุณต้องลอง UP+
- Truly ALL-IN-ONE : UP+ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีนที่ให้คุณประโยชน์และความคุ้มค่าสูงสุด เพราะอัดแน่นไปด้วยปริมาณสารอาหารหลักและสารอาหารเสริมที่สูงและครบถ้วนในผลิตภัณฑ์เดียวแบบ ALL-IN-ONE อาทิ โปรตีน, ไฟเบอร์ , โพรไบโอติก, พรีไบโอติก,สารต้านอนุมูลอิสระ, โอเมก้า 3 รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุจากส่วนผสม SUPERFOODSและ SUPERFRUITS ใน UP+ ทำให้ไม่จำเป็นต้องทานอาหารเสริมชนิดอื่นเพิ่มเติมอีก
- High & Complete Protein Source: UP+ ใช้วัตถุดิบโปรตีนพืชคุณภาพสูงจาก เมล็ดควินัว เมล็ดเจีย ถั่วลันเตา รวมถึง ข้าว ทำให้UP+เป็นแหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายครบ (Essential Amino Acid) ทุกชนิดเหมือนการรับประทานเนื้อสัตว์หรือนมแต่ดีต่อสุขภาพเพราะปราศจากไขมันและคอเลสเตรอล และที่สำคัญ UP+ ยังให้ปริมาณโปรตีนที่สูงถึง 27 กรัม (ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 42 กรัม) หรือสูงกว่า 50 % ของปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- BCAA / L-Lysine : สำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกาย UP+ ยังมี BCAA และ L-Lysine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยทำหน้าที่ในการสังเคราะห์โปรตีน ลดอาการเหนื่อยล้า เพิ่มประสิทธิภาพและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
- Probiotic Boost : UP +ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีนพืชแบรนด์แรกที่ผสม โพรไบโอติก GANEDEN BC30 ลิขสิทธิ์จากสหรัฐอเมริกา ที่ให้ โพรไบโอติกในปริมาณที่สูงถึง 20 Billion CFU (ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 42 กรัม) โดย GANEDEN BC30 เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้การรับรองจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา โพรไบโอติกที่มีปริมาณสูงใน UP+ จะช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ จึงดีต่อระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย นอกจากนี้โพรไบโอติกยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมและการนำโปรตีนไปใช้งานของร่างกาย รวมถึงลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย
- Prebiotic & Fiber Boost: UP+ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีนพืชแบรนด์แรกที่ให้ปริมาณไฟเบอร์สูงถึง 9 กรัม (ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 42 กรัม) โดยไฟเบอร์คุณภาพสูงใน UP+ มีคุณสมบัติเหนือกว่าไฟเบอร์ทั่วไปที่นอกจากทำให้รู้สึกอิ่มท้องและทำความสะอาดระบบลำไส้แล้วยังมีคุณสมบัติความเป็นพรีไบโอติก (prebiotic) ที่สามารถเป็นอาหารของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้จึงช่วยลดจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย UP+ จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักแบบสุขภาพดี
- Immunity Boost : UP+ เลือกใช้ มากิเบอร์รี่สกัดเข้มข้น (Maqui Berry Extract) ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น SUPERFRUIT ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) สูงที่สุดในโลก (สูงกว่า อาซาอิ เบอร์รี่ หรือ Acai Berry ถึง 7 เท่า) โดยสารต้านอนุมูลอิสระใน UP+ จะช่วยเสริมสร้างและเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการเข้าไปทำลายสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย
- Healthy Slimming : นอกจากมีโปรตีนและไฟเบอร์สูงที่มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักแล้ว UP+ยังมีส่วนผสมของ MCT OIL และ L-Arginine ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบเผาพลาญไขมันและแคลอรี่ที่สะสมในร่างกาย และลดความอยากอาหาร จึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี แอล-อาร์จินีน ยังมีส่วนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
- Diabetes Friendly: UP+ เลือกใช้ Monk Fruit Extract วัตถุดิบให้ความหวานจากธรรมชาติ (Natural Sweetener) ที่มีดรรชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI) และยังไม่มีแคลอรี่, คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน (Zero Calories/Carb/Fat) จึงเหมาะกับคนที่รักสุขภาพ ต้องการคุมแคลอรี่และระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงผู้ที่เป็นเบาหวาน
9 Perfect Meal Replacement: UP+ ให้คุณค่าสารอาหารสารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่สูงและครบครัน จึงสามารถใช้รับประทานเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร (Meal Replacement) สำหรับคนที่ต้องการเสริมปริมาณสารอาหารและควบคุมน้ำหนักแบบสุขภาพดี ไร้ผลข้างเคียง
- Unique Flavor & Texture: ด้วยนวัตกรรมและวัตถุดิบใหม่ในการสร้างสรรค์รสชาติทำให้ UP+ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรตีนแบรนด์แรกที่มีการผสมผสาน 2 รสชาติในผลิตภัณฑ์เดียวแบบ 2 in 1 และยังเป็นครั้งแรกที่มีการนำผลิตภัณฑ์ SUPERFOOD อย่างเมล็ดเจีย มาใช้เป็นส่วนผสม ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มสารอาหารแล้วยังทำให้ UP+ มีรสชาติและรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากเครื่องดื่มโปรตีนผงทั่วไปในตลาด ด้วยรสชาติที่อร่อยและดื่มง่าย UP+ จึงเป็นเครื่องดื่มโปรตีนพืชเพื่อสุขภาพที่รสชาติดีสามารถทานได้ทุกวัน เหมาะสำหรับคนในทุกกลุ่ม ทุกวัย ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์